ทำไมคนนิยมทานของหวาน หลังจากทานของคาว 

การทานของหวานหลังจากทานอาหารคาวเป็นพฤติกรรมที่พบได้ทั่วไปในวัฒนธรรมการบริโภคของคนทั่วโลก ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนมักทานของหวานหลังมื้ออาหารเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ทั้งทางด้านจิตวิทยาและสรีรวิทยาของร่างกาย

  1. สรีรวิทยาของร่างกาย: 

หลังจากที่เราทานอาหารคาว ซึ่งประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมันเป็นหลัก ร่างกายจะเกิดความรู้สึกอิ่มและพอใจ แต่ยังคงมีความต้องการน้ำตาลที่ช่วยเติมเต็มพลังงานอย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลที่ผู้คนมักรู้สึกอยากทานของหวานหรือขนมหลังมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานเสริมจากน้ำตาล อย่างไรก็ตาม ของหวานก็ยังมีบทบาทช่วยกระตุ้นสารเคมีในสมอง เช่น โดพามีน (dopamine) และเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขหลังมื้ออาหาร

 

  1. จิตวิทยาและวัฒนธรรม:  

ในหลายวัฒนธรรม การทานของหวานหลังมื้ออาหารเป็นการปิดท้ายมื้ออาหารแบบสมบูรณ์ ซึ่งเกิดจากการที่ของหวานเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองและความสุข ในบางประเทศเช่นฝรั่งเศส ขนมหวานถูกมองว่าเป็นการส่งท้ายมื้ออาหารที่ดี นอกจากนี้ยังเป็นการเติมเต็มประสบการณ์รสชาติที่ครบถ้วน จากรสเค็ม รสมัน ไปจนถึงรสหวาน

 

มีการศึกษาแนะนำว่าการทานของหวานหลังจากทานอาหารคาวที่มีโปรตีนและไขมันสูงอาจมีประโยชน์ต่อการควบคุมความอยากอาหารและการลดน้ำหนักได้ เพราะเมื่อเราทานโปรตีนและไขมันก่อน การย่อยอาหารจะช้าลง

ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงเกินไป และร่างกายจะมีการปล่อยอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลที่เข้ามาในระบบร่างกาย ซึ่งถ้าเราทานของหวานหลังจากอาหารมื้อหลักที่อิ่มแล้ว เรามักจะทานในปริมาณที่น้อยลง ส่งผลให้น้ำตาลไม่มากเกินความจำเป็นและร่างกายสามารถจัดการกับพลังงานได้อย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ การทานอาหารหลักก่อนช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น และลดโอกาสที่เราจะทานของหวานในปริมาณมากเกินไป เพราะเรารู้สึกอิ่มแล้ว

ในทางตรงกันข้าม หากเราทานของหวานก่อนมื้ออาหาร ร่างกายจะได้รับพลังงานจากน้ำตาลอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินซูลินออกมาอย่างรวดเร็ว

เพื่อควบคุมระดับน้ำตาล การทานน้ำตาลในปริมาณมากก่อนที่เราจะได้รับสารอาหารอื่น ๆ เช่น โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จะทำให้เรารู้สึกหิวอีกครั้งเร็วขึ้น และอาจทำให้เราทานอาหารในปริมาณมากเกินไปในมื้อหลัก สิ่งนี้อาจนำไปสู่การสะสมไขมันในร่างกายและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

เนื่องจากน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เร็ว แต่ถ้าไม่ได้ใช้ก็จะถูกเก็บเป็นไขมันสะสม

การทานของหวานก่อนมื้ออาหารยังส่งผลให้ร่างกายสูญเสียความสมดุลของฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวและความอิ่ม ซึ่งทำให้เรารู้สึกหิวอีกครั้งเร็วกว่าปกติ ดังนั้น การทานของหวานก่อนมื้ออาหารจึงไม่เป็นที่แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

 

สนับสนุนโดย     เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล

ภาวะโลหิตจาง (Anemia)

ภาวะโลหิตจาง เป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดงหรือน้ำเลือดแดง (ฮีโมโกลบิน) ต่ำกว่าปกติ ฮีโมโกลบินทำหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย

หากมีภาวะโลหิตจาง ร่างกายจะขาดออกซิเจนเพียงพอ ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงง่าย

สาเหตุของภาวะโลหิตจาง:

  1. การสูญเสียเลือด 

   การสูญเสียเลือดมากเกินไปเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะโลหิตจาง เช่น การมีประจำเดือนมากเกินไป อุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร ซึ่งอาจเกิดจากแผลในกระเพาะอาหาร หรือโรคกระเพาะอาหาร 

  1. การผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยลง 

   ร่างกายอาจผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอจากหลายสาเหตุ เช่น การขาดสารอาหารจำเป็นต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี12 และโฟเลต รวมถึงโรคไตวายเรื้อรังที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงได้อย่างเพียงพอ

  1. การทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง 

   ภาวะที่เซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลายก่อนเวลา เช่น โรคโลหิตจางชนิดเฮโมไลติก (Hemolytic Anemia) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง หรือโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle Cell Anemia) ที่เซลล์เม็ดเลือดแดงมีรูปทรงผิดปกติและถูกทำลายได้ง่าย

 

https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQiBTkCSV50LsEXtK1-jjOheHiKY6VHa2DwdNV4O507UYZ-ec2TsfpCsdGyrXzIDBLrzqo&usqp=CAU

อาการของภาวะโลหิตจาง:

– อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย: เนื่องจากออกซิเจนไม่เพียงพอ ร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลาแม้จะไม่ได้ทำกิจกรรมหนัก

– หน้ามืดและเวียนศีรษะ: ขาดออกซิเจนทำให้การทำงานของสมองไม่สมบูรณ์ อาจทำให้มีอาการหน้ามืด เป็นลมง่าย

– ผิวซีดและเหงื่อออกง่าย: ผิวหนังอาจซีดจากการขาดเลือดและเหงื่อออกง่ายแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ร้อน

– หัวใจเต้นเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ: เมื่อร่างกายขาดออกซิเจน หัวใจจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อพยายามส่งออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ทำให้มีอาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะ

 

ประเภทของภาวะโลหิตจาง:

  1. โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุด สาเหตุจากการขาดธาตุเหล็กที่ใช้ในการสร้างฮีโมโกลบิน อาจเกิดจากการขาดอาหารที่มีธาตุเหล็ก หรือการสูญเสียเลือดมาก

  1. โลหิตจางจากการขาดวิตามิน

การขาดวิตามินบี12 หรือโฟเลตทำให้ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ไม่สมบูรณ์หรือขนาดใหญ่เกินไป ส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง

  1. โลหิตจางจากโรคเรื้อรัง

โรคเรื้อรัง เช่น โรคไต โรคข้ออักเสบ หรือโรคมะเร็ง สามารถทำให้การผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงลดลง

  1. โลหิตจางจากภาวะเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย

ภาวะที่เซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลายเร็วกว่าที่ร่างกายสร้างขึ้นใหม่ได้ เช่น โรคโลหิตจางชนิดเฮโมไลติก โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว

การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค หากเกิดจากการขาดธาตุเหล็กหรือวิตามิน จะรักษาด้วยการเสริมสารอาหารเหล่านั้น หากเกิดจากโรคเรื้อรังหรือภาวะที่ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง อาจต้องรักษาโรคต้นเหตุควบคู่ไป

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย      เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล