ประวัติของประเทศญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยมีความเกี่ยวพันธ์กันมาอย่างยาวนาน  และประเทศญี่ปุ่นยังเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่คนไทยมักจะเดินทางไปเที่ยวเป็นประจำทุกปี

ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้ข้อมูลประวัติของประเทศญี่ปุ่นแบบคร่าวๆกัน

ประวัติของประเทศญี่ปุ่นมีความหลากหลายและเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่สำคัญตลอดประวัติศาสตร์ของมัน นี่คือสรุปของบางส่วนของประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นเพียงเท่านั้น 

  1. ยุคโบราณ: ประวัติศาสตร์เริ่มต้นของประเทศญี่ปุ่นมีการเคลื่อนไหวของชนเผ่าชาวชิคูเป็นต้นแบบ หลังจากนั้นเกิดการประสานกันของชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น ชาวยามาโต ชาวอินุ และชาวคอรี ซึ่งได้นำมาซึ่งวัฒนธรรมและสังคมในญี่ปุ่นในยุคก่อนประวัติศาสตร์
  2. ยุคคลาสสิก: ในช่วงประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีการประสานกันของราชวงศ์และระบบการปกครองที่เรียกว่า “ซูโกะ” ซึ่งเป็นระบบที่มีผู้ควบคุมที่แข็งแกร่ง พร้อมกับการพัฒนาวัฒนธรรมและศิลปะที่สำคัญ เช่น การประดิษฐ์พระเพลิงเทวะ และการพัฒนาวาดะ
  3. ยุคสงคราม: ประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและที่สอง เมื่อเข้าสู่ต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามเป็นฝ่ายผู้ต่อต้านพันธมิตร และในที่สุดยอมแพ้เมื่อถูกทำลายด้วยการทรมานประชาชนที่มีพลังพอแล้ว
  4. ยุคฟื้นฟู: หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเจริญเติบโตเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ โดยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกสินค้า
  5. ยุคปัจจุบัน: ในปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมมากที่สุดในเอเชียตะวันออก เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเชื่อมโยงกับระบบอุตสาหกรรมขั้นสูง การวิจัยและพัฒนาที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และมีสังคมที่มีคุณค่าและวัฒนธรรมที่หลากหลายและน่าสนใจ

ประเทศญี่ปุ่นมีหลายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญและน่าสนใจมากมาย ดังนี้:

  1. เกียวโต: เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น มีวัดชั้นสำคัญอย่าง เกียวโตะ และพระราชวังเกียวโตะ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
  2. ฮิโรชิมะ: เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ราวกับการตกแต่งของราชวงศ์โทโกกิวาระ ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของการประชุมสุดยอด G7 และมีอนุสาวรีย์สงครามที่จดจำ
  3. นารา: เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีวัดราชวังอันสวยงาม นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ
  4. ฮิโรชิม่า: เป็นเกาะที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีประวัติศาสตร์ที่หลากหลายและมีวัดชั้นสำคัญอย่างฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้
  5. ซากุระ: เป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ทางทหารและวัฒนธรรมอันน่าสนใจ มีปราสาทสำคัญอย่าง กุระ ซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้และเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้

นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น คามาคุระ ที่เป็นสถานที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และฮักอู ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์มากมายในยุคโบราณ

 

สนับสนุนโดย      เครื่องช่วยฟังราคาเท่าไหร่

ทำไมคนนิยมทานของหวาน หลังจากทานของคาว 

การทานของหวานหลังจากทานอาหารคาวเป็นพฤติกรรมที่พบได้ทั่วไปในวัฒนธรรมการบริโภคของคนทั่วโลก ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนมักทานของหวานหลังมื้ออาหารเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ทั้งทางด้านจิตวิทยาและสรีรวิทยาของร่างกาย

  1. สรีรวิทยาของร่างกาย: 

หลังจากที่เราทานอาหารคาว ซึ่งประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมันเป็นหลัก ร่างกายจะเกิดความรู้สึกอิ่มและพอใจ แต่ยังคงมีความต้องการน้ำตาลที่ช่วยเติมเต็มพลังงานอย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลที่ผู้คนมักรู้สึกอยากทานของหวานหรือขนมหลังมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานเสริมจากน้ำตาล อย่างไรก็ตาม ของหวานก็ยังมีบทบาทช่วยกระตุ้นสารเคมีในสมอง เช่น โดพามีน (dopamine) และเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขหลังมื้ออาหาร

 

  1. จิตวิทยาและวัฒนธรรม:  

ในหลายวัฒนธรรม การทานของหวานหลังมื้ออาหารเป็นการปิดท้ายมื้ออาหารแบบสมบูรณ์ ซึ่งเกิดจากการที่ของหวานเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองและความสุข ในบางประเทศเช่นฝรั่งเศส ขนมหวานถูกมองว่าเป็นการส่งท้ายมื้ออาหารที่ดี นอกจากนี้ยังเป็นการเติมเต็มประสบการณ์รสชาติที่ครบถ้วน จากรสเค็ม รสมัน ไปจนถึงรสหวาน

 

มีการศึกษาแนะนำว่าการทานของหวานหลังจากทานอาหารคาวที่มีโปรตีนและไขมันสูงอาจมีประโยชน์ต่อการควบคุมความอยากอาหารและการลดน้ำหนักได้ เพราะเมื่อเราทานโปรตีนและไขมันก่อน การย่อยอาหารจะช้าลง

ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงเกินไป และร่างกายจะมีการปล่อยอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลที่เข้ามาในระบบร่างกาย ซึ่งถ้าเราทานของหวานหลังจากอาหารมื้อหลักที่อิ่มแล้ว เรามักจะทานในปริมาณที่น้อยลง ส่งผลให้น้ำตาลไม่มากเกินความจำเป็นและร่างกายสามารถจัดการกับพลังงานได้อย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ การทานอาหารหลักก่อนช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น และลดโอกาสที่เราจะทานของหวานในปริมาณมากเกินไป เพราะเรารู้สึกอิ่มแล้ว

ในทางตรงกันข้าม หากเราทานของหวานก่อนมื้ออาหาร ร่างกายจะได้รับพลังงานจากน้ำตาลอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินซูลินออกมาอย่างรวดเร็ว

เพื่อควบคุมระดับน้ำตาล การทานน้ำตาลในปริมาณมากก่อนที่เราจะได้รับสารอาหารอื่น ๆ เช่น โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จะทำให้เรารู้สึกหิวอีกครั้งเร็วขึ้น และอาจทำให้เราทานอาหารในปริมาณมากเกินไปในมื้อหลัก สิ่งนี้อาจนำไปสู่การสะสมไขมันในร่างกายและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

เนื่องจากน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เร็ว แต่ถ้าไม่ได้ใช้ก็จะถูกเก็บเป็นไขมันสะสม

การทานของหวานก่อนมื้ออาหารยังส่งผลให้ร่างกายสูญเสียความสมดุลของฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวและความอิ่ม ซึ่งทำให้เรารู้สึกหิวอีกครั้งเร็วกว่าปกติ ดังนั้น การทานของหวานก่อนมื้ออาหารจึงไม่เป็นที่แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

 

สนับสนุนโดย     เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล

แนะนำวิธีเปลี่ยน iPhone เครื่องช้าให้ประมวลผลได้เร็ว

เชื่อว่าหลายคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือ iPhone มักจะพบปัญหาเหมือนกันนั่นก็คือเครื่องช้าหรือเครื่องมีความหน่วงมาก

ซึ่งแน่นอนว่าเวลาที่เราใช้งานโทรศัพท์มือถือแล้วเจอปัญหาเครื่องชาร์จนั้นทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากและปัญหาเครื่องช้าหรือเครื่องหลวงนั้นเราก็จะมักพบเห็นเป็นประจำสำหรับคนที่ใช้มือถือ iPhone

ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า iPhone ทุกรุ่นนั้นมีปัญหาแบบนี้เหมือนกันหมดดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำถึงวิธีการเปลี่ยน iPhone เครื่องช้าให้กลายมาเป็นมือถือที่สามารถใช้งานได้เร็วขึ้นโดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียตังค์ซื้อเครื่องใหม่มาดูกันว่ามีวิธีการไหนได้บ้าง 

อย่างแรกเลยให้เราเข้าไปลบข้อความที่เราได้รับมานานแล้วรวมถึงอ่านแล้วแต่ยังไม่เคยลบทิ้งออกเพราะข้อความเก่าๆเหล่านี้

เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้โทรศัพท์มือถือของเรานั้นมีข้อมูลความจำในตัวเครื่องมากจนเกินไปหรือมันกินความจำในตัวเครื่องของเราซึ่งมันเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เครื่องทำงานได้ช้า

เนื่องจากว่าข้อความเหล่านี้จะยังมีการถูกเก็บไว้ถ้าหากเรายังไม่มีการลบทิ้งซึ่งมันจะทำให้เมมโมรี่ของเรานั้นเต็มได้ง่าย

ดังนั้นหากข้อความที่เราได้รับเป็นข้อความที่ไม่สำคัญหรือเราอ่านแล้ว

และไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บข้อความดังกล่าวเอาไว้เราก็สามารถที่จะลบทิ้งออกไปได้ซึ่งมันจะทำให้เมมโมรี่ในตัวเครื่องนั้นมีเพิ่มมากยิ่งขึ้นและยังช่วยทำให้เครื่องประมวลผลได้เร็วขึ้นอีกด้วย

สำหรับวิธีการที่เราจะเข้าไปทำการลบข้อความที่เราไม่จำเป็นต้องใช้งานออกนั้นทำได้ง่ายๆโดยเราสามารถเข้าไปที่เมนูการตั้งค่าแล้วเลือกไปที่หัวข้อข้อความหลังจากนั้นก็เลือกไปที่ เก็บข้อความ

ซึ่งในเมนูนี้จะให้เราเลือกได้ว่าข้อความที่เราจะเก็บนั้นจะเก็บไว้ 30 วันหรือว่าจะเก็บไว้ 1 ปีหรือว่าจะจัดเก็บตลอดไปซึ่งเราสามารถเข้ามาเลือกระยะเวลาในการจัดเก็บที่เมนูนี้ได้เลย

อีกหนึ่งเมนูที่เราควรจะต้องเข้าไปทำการลบข้อความนั้นก็คือใน App ข้อความที่อยู่หน้ามือถือหลักของเราซึ่งเมื่อเราเปิดเข้าไปจะเห็นข้อความที่ส่งมาแล้วเราเปิดเข้าไปอ่านได้นั้นเราสามารถสไลด์ข้อความมาทางด้านซ้ายมือ

หลังจากนั้นจะมีเมนูไม่รับแจ้งเตือนกับรูปถังขยะขึ้นมาซึ่งถ้าเราอ่านข้อความเสร็จเรียบร้อยแล้วเราสามารถกดรูปถังขยะสีแดงก็จะเป็นการลบข้อความนั้นออกจากตัวเครื่องเช่นเดียวกัน 

อีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้โทรศัพท์มือถือของเราประมวลผลได้เร็วขึ้นเพราะเครื่องเราอาจจะค้าหรือว่าช้างนั้นก็มาจากการที่เราควรที่จะทำการ Restart เครื่องบ่อยๆเพื่อเป็นการรีเซ็ตเครื่อง

  ซึ่งวิธีการนี้มันจะสามารถทำให้เราทำการเคลียร์ข้อมูลในแรมได้อีกด้วยรับรองได้เลยว่าถ้าหากว่าเรามีการ Restart เครื่องบ่อยๆนั้นเครื่องจะทำงานได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย    คาสิโนเวียดนาม

ภาวะโลหิตจาง (Anemia)

ภาวะโลหิตจาง เป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดงหรือน้ำเลือดแดง (ฮีโมโกลบิน) ต่ำกว่าปกติ ฮีโมโกลบินทำหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย

หากมีภาวะโลหิตจาง ร่างกายจะขาดออกซิเจนเพียงพอ ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงง่าย

สาเหตุของภาวะโลหิตจาง:

  1. การสูญเสียเลือด 

   การสูญเสียเลือดมากเกินไปเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะโลหิตจาง เช่น การมีประจำเดือนมากเกินไป อุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร ซึ่งอาจเกิดจากแผลในกระเพาะอาหาร หรือโรคกระเพาะอาหาร 

  1. การผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยลง 

   ร่างกายอาจผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอจากหลายสาเหตุ เช่น การขาดสารอาหารจำเป็นต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี12 และโฟเลต รวมถึงโรคไตวายเรื้อรังที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงได้อย่างเพียงพอ

  1. การทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง 

   ภาวะที่เซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลายก่อนเวลา เช่น โรคโลหิตจางชนิดเฮโมไลติก (Hemolytic Anemia) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง หรือโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle Cell Anemia) ที่เซลล์เม็ดเลือดแดงมีรูปทรงผิดปกติและถูกทำลายได้ง่าย

 

https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQiBTkCSV50LsEXtK1-jjOheHiKY6VHa2DwdNV4O507UYZ-ec2TsfpCsdGyrXzIDBLrzqo&usqp=CAU

อาการของภาวะโลหิตจาง:

– อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย: เนื่องจากออกซิเจนไม่เพียงพอ ร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลาแม้จะไม่ได้ทำกิจกรรมหนัก

– หน้ามืดและเวียนศีรษะ: ขาดออกซิเจนทำให้การทำงานของสมองไม่สมบูรณ์ อาจทำให้มีอาการหน้ามืด เป็นลมง่าย

– ผิวซีดและเหงื่อออกง่าย: ผิวหนังอาจซีดจากการขาดเลือดและเหงื่อออกง่ายแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ร้อน

– หัวใจเต้นเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ: เมื่อร่างกายขาดออกซิเจน หัวใจจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อพยายามส่งออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ทำให้มีอาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะ

 

ประเภทของภาวะโลหิตจาง:

  1. โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุด สาเหตุจากการขาดธาตุเหล็กที่ใช้ในการสร้างฮีโมโกลบิน อาจเกิดจากการขาดอาหารที่มีธาตุเหล็ก หรือการสูญเสียเลือดมาก

  1. โลหิตจางจากการขาดวิตามิน

การขาดวิตามินบี12 หรือโฟเลตทำให้ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ไม่สมบูรณ์หรือขนาดใหญ่เกินไป ส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง

  1. โลหิตจางจากโรคเรื้อรัง

โรคเรื้อรัง เช่น โรคไต โรคข้ออักเสบ หรือโรคมะเร็ง สามารถทำให้การผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงลดลง

  1. โลหิตจางจากภาวะเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย

ภาวะที่เซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลายเร็วกว่าที่ร่างกายสร้างขึ้นใหม่ได้ เช่น โรคโลหิตจางชนิดเฮโมไลติก โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว

การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค หากเกิดจากการขาดธาตุเหล็กหรือวิตามิน จะรักษาด้วยการเสริมสารอาหารเหล่านั้น หากเกิดจากโรคเรื้อรังหรือภาวะที่ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง อาจต้องรักษาโรคต้นเหตุควบคู่ไป

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย      เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล

ชุมชนคนรัก Saab รวมพลคนหลงใหลในยนตรกรรมระดับตำนาน

หากพูดถึงรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว Saab (ซาบ) คือหนึ่งในแบรนด์ที่มีความโดดเด่นและเป็นที่จดจำในกลุ่มคนรักรถทั่วโลก แม้ว่า Saab จะไม่ได้ผลิตรถยนต์ใหม่อีกต่อไป แต่เสน่ห์ของแบรนด์สวีเดนรายนี้ยังคงตราตรึงในหัวใจของแฟน ๆ ที่หลงใหลในดีไซน์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมที่ล้ำสมัย ด้วยเหตุนี้ ชุมชนคนรัก Saab จึงเกิดขึ้นมาเป็นแหล่งรวมตัวของผู้ที่ชื่นชอบและต้องการแบ่งปันความหลงใหลที่มีต่อแบรนด์รถยนต์ที่ไม่เหมือนใคร

Saab เป็นรถยนต์ที่เกิดจากเทคโนโลยีการบิน บริษัท SAAB (Svenska Aeroplan Aktiebolaget) เดิมเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินของสวีเดน ก่อนจะเข้าสู่วงการยานยนต์และสร้างรถที่มีแนวคิดแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่น หนึ่งในเอกลักษณ์ของ Saab คือ การออกแบบเพื่อผู้ขับขี่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากห้องนักบินของเครื่องบิน เช่น การวางปุ่มควบคุมให้อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานง่าย หน้าปัดแสดงผลที่อ่านง่าย และระบบ Night Panel ที่ช่วยลดแสงรบกวนในเวลากลางคืน

ชุมชนคนรัก Saab ทั่วโลก เติบโตขึ้นจากความผูกพันที่มีต่อแบรนด์และการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการบำรุงรักษารถยนต์ Saab รุ่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Saab 900 คลาสสิกที่มีดีไซน์โค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์ Saab 9000 ที่เป็นรถหรูระดับเรือธง หรือ Saab 9-3 และ 9-5 ที่เป็นรถซีดานและแวกอนที่มีสมรรถนะสูงและระบบเทอร์โบชาร์จอันโด่งดัง

หนึ่งในเสน่ห์ของ Saab คือ การเป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์และไม่ตามใคร แม้ว่าจะเป็นรถยุโรป แต่ Saab มีบุคลิกที่แตกต่างจากแบรนด์เยอรมัน เช่น BMW หรือ Mercedes-Benz อย่างชัดเจน แทนที่จะเน้นความหรูหราแบบดั้งเดิม Saab มุ่งเน้นไปที่ เทคโนโลยี สมรรถนะ และความปลอดภัย เช่น การเป็นหนึ่งในแบรนด์แรกที่นำ เทอร์โบชาร์จเจอร์ มาใช้ในรถยนต์ทั่วไป และการพัฒนาระบบความปลอดภัยขั้นสูง

แฟนคลับ Saab ในไทยและทั่วโลก ยังคงรวมตัวกันผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น กลุ่ม Facebook, ฟอรัมออนไลน์ และงานพบปะของคนรัก Saab ที่จัดขึ้นเป็นประจำในหลายประเทศ การแลกเปลี่ยนอะไหล่ การแบ่งปันประสบการณ์ และการช่วยกันดูแลรักษารถ ถือเป็นวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งในกลุ่มคนรัก Saab

แม้ว่าแบรนด์ Saab จะหยุดผลิตไปแล้วตั้งแต่ปี 2012 แต่จิตวิญญาณของมันยังคงอยู่ผ่านชุมชนคนรัก Saab ที่ไม่เคยเสื่อมคลาย สำหรับใครที่หลงใหลในยนตรกรรมที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร และเต็มไปด้วยนวัตกรรม Saab ยังคงเป็นรถที่คุ้มค่าแก่การครอบครอง และชุมชนคนรัก Saab ก็พร้อมต้อนรับทุกคนที่ต้องการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งรถยนต์ที่แตกต่างและเต็มไปด้วยเสน่ห์นี้